ถ้าจะพูดว่าตลาดหลักทรัพย์เป็นตลาดที่ค้าขายความหวังหรือเป็นตลาดขายฝันก็ไม่ผิดจากความเป็นจริงไปมากนัก เพราะราคาของหลักทรัพย์นั้นถูกกำหนดโดยกระแสเงินสดที่จะได้รับในอนาคตตลอดไป นั่นก็คือถ้าเป็นตราสารหนี้ ราคาของตราสารก็จะถูกกำหนดโดยดอกเบี้ยที่จะได้รับและเงินต้นที่จะได้คืนเมื่อตราสารหนี้นั้นครบกำหนดชำระซึ่งจะเป็น 5 ปี หรือ 10 ปีก็แล้วแต่ที่จะกำหนด และถ้าเป็นตราสารทุนที่เป็นหุ้น ราคาของหุ้นจะถูกกำหนดโดยปันผลที่จะได้รับในอนาคตตลอดไปตราบที่บริษัทยังไม่ล้มละลาย
ราคาของตราสารหนี้นั้นคำนวณง่ายเพราะดอกเบี้ยและเงินต้นที่จะได้รับคืนในอนาคตนั้น มีการกำหนดแน่นอนอยู่แล้ว แต่หุ้นนั้น การคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงทำได้ยากมากเพราะปันผลของบริษัทขึ้นอยู่กับกำไรของกิจการซึ่งไม่แน่นอนและระยะเวลาที่ใช้ในการคำนวณก็ยาวมากคือตราบชั่วนิรันดร์ เพราะฉะนั้นการคิดคำนวณหามูลค่าของหุ้นของนักวิเคราะห์หรือนักลงทุนแต่ละคนจึงแตกต่างกันไปมาก แล้วแต่ว่าใครจะคาดหวังหรือฝันถึงอนาคตอย่างไร
ในยามที่คนส่วนใหญ่คิดหรือฝันว่าอนาคตจะสดใส พวกเขาก็จะคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทในระดับที่สูง และแปลงผลการดำเนินงานนั้นกลับมาเป็นราคาหุ้นที่สูงลิ่วและต่างรีบเร่งเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดโดยหวังว่าจะได้กำไรมหาศาล เช่นเดียวกันในยามที่ทุกคนหมดหวังหดหู่กับอนาคต เขาก็จะตีราคาหุ้นต่ำมากและต่างก็ขายหุ้น “หนีตาย” ราวกับว่าบริษัทนั้น ๆ จะอยู่ต่อไปได้ไม่นานนัก
ความคาดหวังหรือความฝันของนักลงทุน รวมทั้งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทั้งหลายดูเหมือนว่าจะมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกันและมักจะตาม ๆ กันไป นั่นก็คืออะไรก็ตามที่เพิ่งเกิดขึ้น และเป็นอยู่ในปัจจุบันมักจะถูกคาดว่าจะดำเนินต่อไปในระดับเดิมหรือใกล้เคียงกับระดับที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุด โดยความคาดหวังนั้นมักจะมองไปที่ระยะเวลาสั้น ๆ หนึ่งถึงสองปี เป็นอย่างมาก
แต่ความคาดหวังดังกล่าวนั้นในโลกแห่งความเป็นจริงบ่อยครั้งกลับมิได้เป็นเช่นนั้นโดยเฉพาะความคาดหวังที่สูงเกินไป หรือต่ำเกินไป และความผิดพลาดมักจะทำให้คนที่ “ฝัน” เสียหายร้ายแรง และคนที่ “หมดหวัง” พลาดโอกาสทำกำไรที่งดงาม
ลองมาดูว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่เป็นเรื่องสำคัญและคนมักจะคาดการณ์ผิดและเกิดความเสียหายในการลงทุนบ่อย ๆ
ปีที่แล้วดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นถึง 117% ดังนั้นคนที่อยู่ในตลาดอยู่แล้วและคนที่เพิ่งเข้าตลาดในช่วงปลายปีก่อนก็คาดกันว่าดัชนีตลาดจะปรับตัวขึ้นไปอีกอย่างน้อย 20 – 25% ในปีนี้ บางคนฝันไปถึง 1000 จุด คนจำนวนมากแห่กันเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
เวลาผ่านมาหนึ่งไตรมาส ดัชนีตลาดยังติดลบอยู่ ดูเหมือนว่าความคิดของคนกำลังเปลี่ยนไป ที่จริงเขาควรคิดตั้งแต่ต้นปีว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยแล้วควรเติบโตเพียงปีละ 10% เท่านั้น เพราะฉะนั้นการคาดหวังที่ระดับ 20 – 30% จึงเป็นการมองในแง่ที่ดีเกินไป
เมื่อเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว การเติบโตของเศรษฐกิจสูงลิ่ว ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนปีที่แล้วมีกำไรสูงถึง 3 แสนล้าน มากกว่าปี 2545 ถึง 49% นักวิเคราะห์ต่างก็คาดว่าปี 2547 ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนจะดีขึ้นอย่างน้อยก็น่าจะ 25 – 30% เราคงต้องมาดูกันต่อไปว่าจะเป็นจริงได้แค่ไหน แต่ประวัติศาสตร์ของการเติบโตของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนนั้นบอกว่า การเจริญเติบโตปีละ 25 – 30% ต่อปีเป็นเรื่องที่ยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา
ผลการลงทุนของบริษัทจัดการกองทุนรวมเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้คนลงทุนซื้อหน่วยลงทุนเจ็บตัวกันมากโดยเฉพาะในต่างประเทศก็คือ ปีที่แล้วบริษัทบริหารกองทุนได้กำไรสูงมาก ก็จะทำการโฆษณาชักจูงให้คนเข้ามาลงทุนซื้อหน่วยลงทุนซึ่งก็จะได้เม็ดเงินเข้ามามากเพราะคนคิดว่าปีนี้ บริษัทก็คงจะทำกำไรได้เป็น 100% หรืออย่างน้อยก็หลายสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ข้อเท็จจริงที่มีการพิสูจน์กันมามากก็คือ กองทุนที่ทำกำไรดีมากในปีหนึ่งมักจะทำกำไรไม่ดีในปีต่อไป เพราะฉะนั้นคนที่ซื้อหน่วยลงทุนโดยดูจากผลงานของปีที่ผ่านมาจึงมักจะผิดหวังมากกว่าที่จะสมหวัง
ปีที่แล้วหุ้นบูมมาก ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวันสูงถึง 5 – 6 หมื่นล้านบาทก็มี เฉลี่ยแล้วเข้าใจว่าไม่ต่ำกว่า 2 – 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน คนก็คาดกันว่าปีนี้การซื้อขายเฉลี่ยต่อวันก็น่าจะได้ 2 – 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน คนจำนวนมากซื้อหุ้นบริษัทหลักทรัพย์เพราะเชื่อว่าบริษัทจะได้กำไรมากจากค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้น แต่ข้อมูลเมื่อเร็ว ๆนี้ บอกว่าบางวันปริมาณซื้อขายหุ้นอยู่แค่หลักหมื่นล้านบาทเศษ ๆ โอกาสที่คนจะเสียหายจากการคาดหวังสูงตามเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็มีสูง เพราะข้อเท็จจริงก็คือในภาวะที่ตลาดหลักทรัพย์ไม่บูมนั้น การซื้อขายหุ้นในระดับวันละประมาณ 10,000 ถึง 15,000 ล้านบาท ก็น่าจะถือได้ว่าสภาพคล่องอยู่ในระดับดีพอใช้แล้ว
คนที่เจ็บหนักมากอีกกลุ่มหนึ่งก็คือคนที่ซื้อหุ้นที่ราคาวิ่งขึ้นไปสูงมากในปีที่แล้วโดยคาดว่าบริษัทจะมีกำไรเติบโตขึ้นไปอีกจากที่เติบโตขึ้นมามหาศาลในปีที่แล้ว และทำให้ราคาหุ้นวิ่งทะลุ “พื้นฐาน” และ “แนวต้าน” ทุกแนว การคาดหวังกำไรของกิจการที่สูงเกินความเป็นไปได้ในระยะยาวโดยอิงจากกำไรที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นความเสี่ยงที่มักเกิดขึ้นแม้กับคนที่ยึด “พื้นฐาน” ของกิจการในการลงทุน
หุ้น IPO หรือหุ้นเข้าตลาดครั้งแรกในปีก่อนให้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ บางที 40 – 50% จากการลงทุนสั้น ๆ เพียงไม่กี่วัน คนก็มีความคาดหวังว่าหุ้น IPO ตัวใหม่ ๆ ในปีนี้จะต้องให้ผลตอบแทนสูงแบบเดียวกัน พอหุ้น IPO ให้ผลตอบแทนเพียง 15 – 20% นักลงทุนก็รู้สึกผิดหวัง ทั้ง ๆ ที่เป็นผลตอบแทนที่สูงมาก
ทั้งหมดนี้ก็เป็นการเตือนนักลงทุนทั้งหลายว่า ความฝันที่เกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นมักจะเกิดตามภาวะของตลาดหรือของกิจการในช่วงที่ผ่านมาล่าสุด และความฝันที่เกิดขึ้นนั้น มักจะไม่เป็นจริง คนที่ยึดเอาความฝันนั้นมาใช้ในการตัดสินใจลงทุนมักจะเสียหายมากกว่าที่จะได้ผลตอบแทนที่ดี ในตลาดหลักทรัพย์นั้นผมเชื่อว่าไม่มีรางวัลแด่คนช่างฝัน
บทความในthaiVIหน้าที่ 33
บทความหลัก
Monday, April 27, 2009
ฝันที่ไม่เป็นจริง
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment