นักวิเคราะห์และนักลงทุนบางคนมองว่าภาวะแวดล้อมของประเทศไทย ณ. วันนี้ดูไม่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเลย ดังนั้นหลาย ๆ คนขายหุ้นล้างพอร์ต นั่งรอให้ตลาดหุ้นตกลงมาต่ำกว่าปัจจุบันก่อนที่จะเข้าลงทุนอีกครั้ง เหตุผลก็เพราะว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นนั้นล้วนแต่เป็นภาพลบและเป็นปัจจัยที่อาจทำให้หุ้นตกได้มหาศาล
เรื่องที่น่าเป็นห่วงมากในขณะนี้ก็แน่นอนว่าเป็นเรื่องการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ซึ่งรุนแรงขึ้นมาต่อเนื่องและยังไม่เห็นทางแก้ไขที่ได้ผลจริง ๆ เท่าที่ผ่านมานั้น ปัญหานี้ขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งเกือบทุกวัน แต่ถ้าถามว่ากระทบอะไรกับเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมากน้อยแค่ไหน คำตอบก็คือ น้อยมาก เพราะสัดส่วนของผลผลิตใน 3 จังหวัดนั้นมีน้อยเมื่อเทียบกับผลผลิตรวมของประเทศ เพราะฉะนั้น ว่าโดยพื้นฐานแล้ว ปัญหาภาคใต้ยังไม่ได้ส่งผลถึงเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นเลย
แต่ความกังวลก็คือ โอกาสที่ปัญหาการก่อการร้ายจะลุกลามไปยังเมืองใหญ่อื่น ๆ โดยเฉพาะที่เป็นเมืองท่องเที่ยวนอกเขต 3 จังหวัดนั้นน่าจะมีอยู่ และถ้าเกิดขึ้นก็จะกระทบต่อภาพของประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง การท่องเที่ยวซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้มหาศาลของไทยจะเสียหายหนัก การลงทุนต่าง ๆ จะชะลอตัวลง ตลาดหุ้นอาจจะช็อค ดัชนีตลาดไหลลง เพราะนักลงทุนทั้งไทยและเทศอาจเทขายหุ้นด้วยความตกใจ ภาพแบบนี้สำหรับบางคนแค่คิดก็นอนไม่หลับแล้ว
ถัดจากเรื่องภาคใต้ก็มาถึงเรื่องที่น่ากลัวไม่แพ้กันเพราะเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ก็คือ ราคาน้ำมันดีเซลซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการขนส่งซึ่งก็เป็นต้นทุนของสินค้าเกือบทุกอย่างในประเทศ กำลังจะต้องถูกปรับราคาขึ้นมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์หลังจากที่ถูก “อั้น” ไว้นาน
การปรับราคาน้ำมันดีเซลน่าจะมีผลให้สินค้าอีกหลายชนิดปรับตัวขึ้นและจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น การบริโภคของประชาชนถดถอยลง ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง และที่สำคัญ ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ขายสินค้าได้น้อยลงและกำไรหดลง ทั้งหมดนี้อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างรุนแรงและยาวนาน
อัตราดอกเบี้ยที่เคยต่ำเตี้ยติดดินก็กำลังทยอยปรับขึ้นทีละ 0.25% ตามแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยของอเมริกาและดูเหมือนว่าจะยังไม่หยุดเพราะสภาพคล่องทางการเงินดูเหมือนว่าจะลดลงในขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังปรับตัวขึ้น นี่ก็คือความกังวลที่รุนแรงอีกข้อหนึ่งโดยเฉพาะในสังคมไทยที่นับวันจะพึ่งพิงกับการซื้อสินค้าเงินผ่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องของไข้หวัดนกที่เกิดขึ้นมาเกือบปีและยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างเด็ดขาดนั้น ขณะนี้ก็เริ่มมีความกังวลว่าจะหวนกลับมาพร้อมกับฤดูที่อากาศเย็นลง และแม้ว่าคนจะเริ่มชินชากับปัญหานี้ ปัญหาไข้หวัดนกก็อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบที่เลวร้ายได้เสมอโดยเฉพาะถ้ามีการกลายพันธุ์และติดต่อถึงคนได้ง่ายขึ้น
ข่าวร้ายนั้นดูเหมือนว่าเวลาเกิดขึ้นมักจะมาเป็นชุด ๆ เพราะเรื่องที่น่าห่วงกว่าหวัดนกในขณะนี้ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนมาเป็นเรื่องของภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ จังหวัด ข่าวที่ออกมาฟังดูอาจจะไม่ตื่นเต้นเพราะไม่มีคนเสียชีวิตจากภัยแล้ง แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นน่าจะรุนแรงกว่า เพราะผลผลิตทางการเกษตรเกือบทุกอย่างจะถูกกระทบ รายได้ของคนในชนบทซึ่งเป็นกำลังซื้อที่สำคัญจะถดถอยลงและนี่อาจทำให้เศรษฐกิจในปีหน้าซบเซากว่าที่ใครต่อใครคาดไว้ได้
ปัจจัยจากต่างประเทศเองก็มีเรื่องที่น่ากังวลอยู่ไม่น้อย ที่มองดูก็มีเรื่องเศรษฐกิจของจีนซึ่งอาจชะลอตัวลงซึ่งทำให้ความต้องการสินค้าหลาย ๆ อย่างโดยเฉพาะที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์และวัตถุดิบลดลง
สิ่งที่น่ากังวลสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้นน่าจะอยู่ที่ราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้งหลายที่ได้ปรับตัวขึ้นมหาศาลเนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นมหาศาลของจีนในช่วงที่ผ่านมา อะไรจะเกิดขึ้นถ้าความต้องการปิโตรเคมีชะลอตัวลงและราคาร่วงลงมา?
คำตอบนั้นชัดเจนก็คือ บริษัทจดทะเบียนที่ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะมีกำไรถดถอยลงและราคาหุ้นน่าจะต้องปรับตัวลง เรื่องนี้คงไม่หนักหนามากถ้ามีบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กเพียงไม่กี่แห่งที่หากินกับปิโตรเคมีอย่างในอดีต แต่ความเป็นจริงก็คือ ตลาดหุ้นไทยเวลานี้มีบริษัทที่อิงอยู่กับธุรกิจปิโตรเคมีคิดตามมูลค่าหุ้นแล้วสูงมาก บางคนบอกว่าสูงถึงเกือบ 30% ของตลาดหุ้นทั้งหมด
ผมเองไม่ยืนยันตัวเลขนี้ แต่ลองนั่งนึกว่าหุ้น ปตท. ซึ่งมีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดประมาณ 470,000 ล้านบาทนี่คงเกี่ยวข้องกับปิโตรเคมีแม้ว่าจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มพลังงาน เช่นเดียวกับหุ้นปูนซิเมนต์ไทยซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 280,000 ล้านบาท รวมกับหุ้น TPI ประมาณ 56,000 ล้านบาท บวกกับหุ้นในกลุ่มเคมีภัณฑ์และพลาสติคซึ่งส่วนใหญ่ก็คือปิโตรเคมีอีกประมาณ 190,000 ล้านบาท รวมแล้วมีมูลค่าตลาดประมาณ 1 ล้านล้านบาท เทียบกับมูลค่าหุ้นทั้งตลาดที่ประมาณ 4.4 ล้านล้านบาทคิดเป็นประมาณ 23% แต่ถ้ารวมเอาธุรกิจที่เกี่ยวกับน้ำมันและเหล็กซึ่งมีคุณสมบัติและพฤติกรรมของราคาสินค้าคล้าย ๆ กันเข้าไปด้วยแล้ว ผมคิดว่าตัวเลข 30% นั้นไม่เกินความจริง
ฟังแล้วรู้สึกหนาวไหมครับว่า ตลาดหุ้นไทย ณ. วันนี้มีเรื่องต่าง ๆ ที่น่าวิตกกังวลเต็มไปหมด แล้วตลาดหุ้นจะไปได้อย่างไรสำหรับปีหน้า?
คำตอบของผมก็คือ อย่ากลัวจนทิ้งตลาดหุ้นครับ เพราะสุภาษิตที่โด่งดังในวงการหุ้นก็คือ หุ้นนั้น “ปีนกำแพงแห่งความกังวล” ความหมายก็คือ ถ้าคนยังวิตกกังวลอยู่หุ้นจะขึ้นไปได้ เมื่อใดที่คนลงทุนในหุ้นอย่าง “ไร้กังวล” อย่างที่เกิดขึ้นปลายปีที่แล้ว เมื่อนั้นหุ้นจะน่ากลัวที่สุดจริง ๆ
คัดลอกมาจากหมวดบทความในเวปThaiVI
Thursday, August 20, 2009
กำแพงแห่งความกังวล
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment