ถ้ารักจะเป็น Value Investor แล้ว จะต้องรู้จัก “ทำใจ” ในหลาย ๆ เรื่อง ใหม่ ๆ อาจจะรู้สึกกระวนกระวายใจและอาจทำไม่สำเร็จ แต่ถ้าฝึกไปเรื่อย ๆ ก็จะทำได้เองและจะทำได้อย่างเป็นธรรมชาติและผลดีก็จะตามมา ต่อไปนี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผมคิดว่านักลงทุนควรจะฝึก “ทำใจ”
เรื่องแรกก็คือ อย่าตื่นเต้นหรือดีใจเกินไปเวลาหุ้นวิ่งขึ้นไปรวดเร็วและรุนแรง เช่นเดียวกับที่อย่าตกใจขวัญเสียเวลาหุ้นตกหนักในช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะทำให้เราตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นบ่อย และที่สำคัญก็คือ ผิดเวลา ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นรับประกันว่าจะทำให้เรากระเป๋าฉีกแน่นอน
ใกล้เคียงกับข้อแรกก็คือ อย่าเฝ้าจอหุ้นหรือติดตามราคาหุ้นใกล้ชิดเกินไปเพราะจะทำให้เราตาลายและสับสน เช่นเดียวกัน เราไม่ควรฟังข่าว ทั้งที่เป็นข่าวจริงหรือข่าวลือในห้องค้าเกินความจำเป็นเพราะหูจะอื้อ และเมื่อเราหูอื้อและตาลายพร้อมกันก็มีโอกาสสูงที่เราจะทำอะไรโดยไม่ได้คิดได้ง่าย ซึ่งการลงทุนที่ไม่ได้คิดอย่างรอบคอบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับนักมวยที่เมาหมัด เดินเข้าหาคู่ต่อสู้โดยไม่ได้ป้องกันตัว
เรื่องที่ควรทำใจข้อสามก็คือ การยอมรับว่าเราไม่สามารถคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นได้ และไม่มีใครสามารถทำได้ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นการลงทุนโดยอิงกับการคาดการณ์ภาวะตลาดจึงไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ การทำใจในเรื่องนี้บางทีก็เป็นเรื่องยาก เพราะเรามักจะคิด “เข้าข้างตัวเอง” ว่าเรารู้และคาดได้ถูกมากกว่าผิด เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าเวลาคาดถูก เรามักจะภูมิใจ ดีใจ และจดจำ ส่วนเวลาที่คาดผิด เรามักจะเสียใจและพยายามลืม ซึ่งทำให้สมองเราเก็บสถิติที่ผิดพลาดนึกว่าเราแน่ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่
เรื่องที่นักลงทุนส่วนใหญ่สนใจและติดตามกันมากในช่วงนี้ก็คือการซื้อหุ้นสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศซึ่งซื้อติดต่อกันมาหลายเดือนนับได้เกือบแสนล้านบาทเข้าไปแล้ว แต่ผมกลับคิดว่า Value Investor ควรจะทำใจไม่ให้สนใจกับเรื่องนี้ เพราะการซื้อหุ้นสุทธิของ “ฝรั่ง” นั้น ถึงแม้ว่ามักจะทำให้ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้น แต่ปัญหาก็คือ เราไม่รู้ว่าวันไหนฝรั่งจะซื้อหรือขายมากน้อยแค่ไหน เรารู้ต่อเมื่อเขาซื้อหรือขายเรียบร้อยแล้ว เรามักจะซื้อทีหลังและขายทีหลัง ทุกครั้งที่สถาบันลงทุนชื่อดังจากต่างประเทศให้สัมภาษณ์ว่าเขาสนใจตลาดหุ้นไทยและจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนนั้น เชื่อผมเถอะครับว่าเขาซื้อไปเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราลงทุนโดยดูการซื้อขายของเขา เราน่าจะเป็น “เหยื่อ” มากกว่าที่จะเป็นคนตกปลา
เรื่องที่ห้าสำหรับ Value Investor ที่ควรจะทำใจก็คือการลงทุนหุ้นนั้นจะให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีในระยะยาว 4-5 ปีขึ้นไป แต่ในระยะสั้นแล้วอาจจะเลวร้ายหรือดีเยี่ยมก็ได้ แต่ไม่ว่าในกรณีใด การลงทุนในหุ้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้คนรวยในชั่วข้ามคืน ถ้าอยากจะรวยด้วยหุ้นแบบปลอดภัย ผมคิดว่าต้องศึกษาการลงทุนมาเป็นอย่างดีและต้องลงทุนต่อเนื่องยาวนานเป็นสิบ ๆ ปีขึ้นไป การคิดหวังรวยทางลัดในตลาดหุ้นนั้นผมคิดว่าร้อยละ 99 ขาดทุนและเสียหายหนัก
นอกจากทำใจว่าการลงทุนหุ้นไม่สามารถจะรวยได้เร็วเหมือนการเก็งกำไรหรือการพนันอย่างอื่นแล้ว ควรทำใจว่าผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของเราน่าจะอยู่ในระดับไม่เกิน 10-15% โดยไม่ต้องสนใจว่าคนเล่นหุ้นหรือนักลงทุนคนอื่นจะได้กำไรมหาศาลแค่ไหนโดยเฉพาะในช่วงสั้น ๆ ไม่เกินปีหรือสองปี เพราะการพยายามไปเปรียบเทียบกับคนที่กำลังประสบความสำเร็จในช่วงสั้น ๆ จะทำให้เราเข้าใจผิดคิดว่าวิธีการของเราผิดและวิธีการของเขาถูกซึ่งอาจจะไม่ใช่
ถ้าจะให้สรุปสำหรับข้อห้าและหกก็คือ นักลงทุนควรจะทำใจให้รู้จักกับความพอใจและเพียงพอในการลงทุน ไม่โลภหวังรวยโดยการเสี่ยงหรือเก็งกำไรในสิ่งที่ไม่มีความแน่นอนพอ อย่างไรก็ตาม การทำใจในเรื่องนี้ไม่ได้แปลว่าผลตอบแทนของเราไม่มีทางที่จะดีเลิศได้เลย เพราะในความเป็นจริงนั้น มหัศจรรย์สามารถเกิดขึ้นได้กับพอร์ตการลงทุนที่เจ้าของยึดหลักความพอเพียง เท่า ๆ กับพอร์ตที่เน้นการลงทุนแบบหวังรวยเร็วเหมือนกัน
การทำใจที่สำคัญที่สุดอีกข้อหนึ่งสำหรับ Value Investor ก็คือการเชื่อว่าราคาหุ้นที่เราลงทุนไว้นั้นในระยะยาวจะขึ้นหรือลงตามกำไรของกิจการ ผลตอบแทนของการลงทุนของเราจะดีหรือเลวก็ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทที่เราลงทุน ถ้าเราทำใจในเรื่องนี้ได้ เราก็จะไม่กระวนกระวายหรือเสียใจเวลาที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นไปแรงในขณะที่พอร์ตหุ้นของเราไม่ได้ปรับตัวขึ้นตาม เช่นเดียวกัน เราก็จะไม่เห็นเหตุผลหรือรู้สึกว่าจะต้องปรับพอร์ตตามภาวะตลาด
ต่อเนื่องจากเรื่องของกำไรกับราคาหุ้นก็คือ เราควรทำใจให้ได้ว่า การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดนั้นก็คือการลงทุนในธุรกิจ เราซื้อหุ้นก็คือการซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจ เป็นเรื่องยากที่ธุรกิจจะมีค่ามากขึ้นมากมายในเวลาไม่กี่วัน เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องยากที่ธุรกิจจะมีค่าตกต่ำลงมากมายในชั่วข้ามคืน ดังนั้น การซื้อหรือขายธุรกิจโดยอิงกับความผันผวนของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล
การทำใจเรื่องที่เก้าก็คือ การทำใจไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นที่ดูเหมือนจะสามารถทำกำไรได้ง่ายในระยะเวลาอันสั้น แต่หุ้นนั้นพิจารณาจากพื้นฐานแล้วไม่มีความคุ้มค่าที่จะซื้อเลย นี่ก็คือหุ้นที่อาจจะกำลังมี “ข่าวดี” หรือกำลังจะมี “คนเล่น” หรืออะไรก็แล้วแต่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อดใจได้ยาก แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าที่จะทำ บางครั้งเราอาจจะได้กำไรมากกว่าขาดทุน แต่มันจะไม่เปลี่ยนแปลงขนาดของพอร์ตอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าเราทำบ่อย ๆ เราจะ “หลงทาง” และหลุดจากเป้าหมายหลักของการสร้างพอร์ตในระยะยาว
สุดท้ายแต่ไม่ใช่เรื่องสุดท้ายที่จะต้องทำใจก็คือ เมื่อเราประสบความสำเร็จในการลงทุนมา 2-3 ปี ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเราจะชนะต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยวิธีการลงทุนที่ทำอยู่ เรามีโอกาสที่จะประสบกับความเลวร้ายเสมอและวันหนึ่งเราก็จะเจอ อย่าเชื่อว่าวิธีการที่ทำอยู่จะถูกต้องจนกว่าคุณจะใช้มาไม่น้อยกว่า 5-6 ปีขึ้นไปและมันสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจมาอย่างสม่ำเสมอ
คัดลอกมาจากหมวดบทความในเวปThaiVI
Thursday, August 20, 2009
การทำใจในการลงทุน
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment